ตลาดกลุ่ม TIPs ไทยอยู่ตรงไหน...
นำกราฟเปรียบเทียบตลาดหุันในกลุ่ม TIPs (ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) มาให้ดู โดยเป็นราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
จากกราฟจะเห็นได้ว่าตลาดทั้ง 3 เริ่มฟอร์มตัวเป็นขาขึ้น..แต่ความแรงในการขึ้นของทั้ง 3 ตลาดก็ไม่เท่ากัน...
ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย (JKSE) ดูจะดีดตัวขึ้นแรงที่สุด ข้อมูลจาก BloomBerg พบว่าผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ของตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่ที่ 8.71% ที่ค่า PE 21.34 เท่า ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่ม TIPs
ภายหลังตัวเลขการค้าที่เปิดเผยออกมาเมื่อเดือน ธ.ค. 2013 สูงสุดในรอบ 2 ปี และ GDP โต 3.6% (ไทยโต 2.9%)
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี ทำให้ตลาดอินโดนีเซียเป็นที่หมายตาของกองทุนต่างประเทศที่จะนำเงินเข้ามาลงทุนก่อนใครเพื่อนในตลาด Emerging Markets ด้วยกันในอาเซียน
แถมสถาบันจัดอันดับอย่าง Morgan Stanley และ JPMorgan ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุันอินโดนีเซียเป็น "มากกว่าตลาด" ก็ยิ่งทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าอินโดนีเซียก่อนเป็นเจ้าแรก
โดยมีกองทุนต่างประเทศเตรียมพร้อมที่จะเข้าลงทุนทั้งหุ้นและสินทรัพย์ต่างๆมากถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วนตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ (PHCOMP) หลังจากผ่านพ้นวิกฤติการณ์พายุไหเยี่ยนเมื่อเดือนกันยายนปี 2013 ประเทศก็เริ่มกลับฟื้นฟูเพื่อเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
ผลตอบแทนของตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 7.28% ที่ค่า PE 18.31 เท่า
และเช่นเดียวกับอินโดนีเซีย ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ก็ได้รับเกียรติจาก JPMorgan เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น "มากกว่าตลาด" แค่ 2 ประเทศในกลุ่ม TIPs
ส่วนไทยที่ยังเผชิญวิกฤติการเมืองลากยาวมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จนถึงปีนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าการเมืองจะคลี่คลาย
ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย (SET) ตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.59% ที่ค่า PE 14.59 เท่า ถือว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดในกลุ่ม TIPs ณ เวลานี้
นอกจากตัวเลข GDP ในปี 2013 ของไทยที่ออกมาไม่ดีแล้ว ประมาณการณ์ GDP ของปี 2014 ก็คงไม่ดีไปกว่าปี 2013 เท่าไหร่นัก หากปัญหาการเมืองยังไม่จบ และเศรษฐกิจกำลังดำดิ่งเหวในเร็ววันนี้
แถมช่วง ShutDown กทม. บทวิเคราะห์ของต่างประเทศมองว่าการย้ายการลงทุนจากไทยไปอินโดนีเซียชั่วคราวเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีกว่า และให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าไทย ทำให้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเนื้อหอมขึ้นมาทันที
ตั้งแต่ต้นปี ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นอินโดนีเซียกว่า 710 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ขายสุทธิตลาดหุันไทยกว่า 1000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ผ่านมา 2 เดือนตลาดหุ้นไทยยังไม่ไปไหน แถมถ้าเทียบกับปีที่แล้ว ณ เวลาเดียวกันตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบถึง 12.7%
และต่างชาติยังมีมุมมองที่เป็นลบต่อเศรษฐกิจและการเมืองไทย และยังคงให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในไทยต่อไป (ไม่ต่างจากการมองวิกฤติการเมืองในยูเครนเวลานี้)
ปัญหาการเมืองเป็นปัจจัยใหญ่เริ่มส่งผลกระทบกดดันภาวะเศรษฐกิจไทยอย่างจริงจัง ถ้าเริ่มไตรมาส 2 การเมืองยังไม่นิ่ง ไม่จบ (และผมคิดว่าคงยืดเยื้ออีกนาน)
ปีนี้ไทยคงรั้งท้ายในกลุ่ม TIPs
No comments:
Post a Comment